Noun (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม ยกตัวอย่างเช่น
ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่
คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์
สิ่งที่เป็นนามธรรม
นอกจากการเรียนรู้คำศัพท์แบบตรงๆแล้ว ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าคำไหนเป็น noun ซึ่งก็คือการดู noun suffix
ทบทวนความรู้
Suffix คือรากศัพท์ที่ใช้วางหลังคำอื่น เพื่อให้เกิดเป็นคำใหม่ อย่างเช่น คำว่า teach ซึ่งแปลว่า “สอน” เมื่อใช้ร่วมกับ suffix -er จะเกิดเป็นคำใหม่คือ teacher ซึ่งแปลว่า “ครู”
Noun suffix คืออะไร
Noun suffix คือรากศัพท์ที่ใช้ลงท้าย noun อย่างเช่น -er ใน teacher, runner, writer หรือ -ee ใน employee, trainee, interviewee
การรู้ noun suffix ที่ใช้บ่อย จะทำให้เราสามารถเดาศัพท์ ว่าคำไหนเป็น noun ได้ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีเวลาเราเจอศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายหรือเวลาทำข้อสอบ
ตัวอย่าง noun suffix ที่ใช้บ่อย
Noun suffix | ตัวอย่าง noun |
---|---|
-ance | Distance – ระยะทาง Insurance – ประกัน Substance – สาร |
-dom | Freedom – อิสรภาพ Kingdom – ราชอาณาจักร Wisdom – ปัญญา |
-ee | Employee – ลูกจ้าง Interviewee – ผู้ถูกสัมภาษณ์ Trainee – ผู้ได้รับการฝึก |
-eer | Engineer – วิศวกร Puppeteer – นักเชิดหุ่น Volunteer – อาสาสมัคร |
-ence | Confidence – ความมั่นใจ Difference – ความต่าง Silence – ความเงียบ |
-er | Reader – ผู้อ่าน Teacher – ครู Writer – นักเขียน |
-hood | Childhood – ช่วงวัยเด็ก Motherhood – ความเป็นแม่ Neighborhood – ย่านใกล้เคียง |
-ion | Celebration – การฉลอง Decision – การตัดสินใจ Option – ทางเลือก |
-ism | Capitalism – ระบบทุนนิยม Nationalism – ความเป็นชาตินิยม Tourism – การท่องเที่ยว |
-ist | Journalist – นักข่าว Psychologist – นักจิตวิทยา Tourist – นักท่องเที่ยว |
-ity | Nationality – สัญชาติ Possibility – ความเป็นไปได้ Responsibility – ความรับผิดชอบ |
-ment | Advertisement – โฆษณา Entertainment – ความบันเทิง Payment – การจ่ายเงิน, ค่าตอบแทน |
-ness | Business – ธุรกิจ Happiness – ความสุข Thickness – ความหนา |
-or | Author – นักเขียน Doctor – หมอ Director – ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการ |
-ry | Delivery – การส่งของ Forestry – การป่าไม้ Laboratory – ห้องปฏิบัติการ |
-ty | Property – ที่ดิน, ทรัพย์สมบัติ Society – สังคม Warranty – การรับประกัน |
-ship | Friendship – มิตรภาพ Leadership – ความเป็นผู้นำ Membership – ความเป็นสมาชิก |
อย่างไรก็ตาม แม้ noun suffix จะช่วยให้เราเดาว่าคำไหนเป็น noun ได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% เพราะคำบางคำก็ทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นได้ทั้ง noun และ adjective เราต้องดูรูปประโยคประกอบ ว่าในประโยคนั้นมันทำหน้าที่อะไร
(เช่น คำว่า “military” ที่สามารถใช้เป็น noun แปลว่า “ทหาร” หรือ “การทหาร” และยังสามารถใช้เป็น adjective ได้อีกด้วย ซึ่งจะแปลว่า “ที่เกี่ยวข้องกับการทหาร”)
หรือคำบางคำที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix แต่จริงๆแล้วเป็นคำประเภทอื่น ก็พอมีอยู่บ้างเช่นกัน (เช่น คำว่า wary ที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix -ry แต่จริงๆแล้วเป็น adjective แปลว่า “ระมัดระวัง”)
หลักๆแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของ noun โดยใช้เกณฑ์ได้ 3 แบบ คือ
เอกพจน์และพหูพจน์
ในด้านปริมาณ noun จะแบ่งได้เป็นคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์
คำนามเอกพจน์ (singular noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนหนึ่งหน่วย ซึ่งก็คือคำนามรูปปกติทั่วไป เช่น student, pen, dish, foot, child
คำนามพหูพจน์ (plural noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป คำนามพหูพจน์จะเป็นคำนามที่เปลี่ยนรูปมาจากเอกพจน์ด้วยการเติม s หรือ es ต่อท้าย เช่น students, pens, dishes หรือบางคำก็ใช้การเปลี่ยนหรือเติมตัวอักษรอื่นแทน เช่น feet, children
ตัวอย่างคำนามเอกพจน์และพหูพจน์ก็อย่างเช่น
เอกพจน์ | ความหมาย | พหูพจน์ | ความหมาย |
---|---|---|---|
A student | นักเรียนหนึ่งคน | Two students | นักเรียนสองคน |
A pen | ปากกาหนึ่งด้าม | Four pens | ปากกาสี่ด้าม |
This dish | จานใบนี้ (หนึ่งใบ) | These dishes | จานเหล่านี้ (หลายใบ) |
This foot | เท้าข้างนี้ (ข้างเดียว) | My feet | เท้าของฉัน (สองข้าง) |
A child | เด็กหนึ่งคน | All children | เด็กทุกคน |
พจน์ของ noun จะมีผลต่อการเลือกใช้รูปคำกริยาในประโยค โดยเราจะใช้คำนามเอกพจน์กับคำกริยารูปเอกพจน์ (เช่น is, has, does, คำกริยารูปที่เติม s/es) และจะใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยารูปพหูพจน์ (เช่น are, have, do, คำกริยารูปที่ไม่ได้เติม s/es)
คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้
ในภาษาอังกฤษ noun จะแบ่งออกเป็นคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้
คำนามนับได้ (countable noun) คือคำนามที่นับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ อย่างเช่น
คำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือคำนามที่ตามธรรมชาติแล้วนับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ยาก เรามักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า อย่างเช่น
เราสามารถทำคำนามนับไม่ได้ให้กลายเป็นคำนามนับได้ด้วยการกำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน อย่างเช่น A glass of water (น้ำหนึ่งแก้ว), two teaspoons of sugar (น้ำตาลสองช้อนชา)
คำนามนับได้และนับไม่ได้จะมีความเกี่ยวข้องกับเอกพจน์และพหูพจน์คือ
แบ่งตามหมวดหมู่คำ
Noun จะแบ่งตามหมวดหมู่คำได้เป็น 5 ประเภท คือ
การใช้ noun จะใช้ได้ 4 แบบหลักๆ คือ
1. Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject)
Noun ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน มักจะอยู่ต้นๆประโยค ตัวอย่างเช่น
Tim lives in Bangkok.
ทิมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
This bag is very heavy.
กระเป๋าใบนี้หนักมาก
2. Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object)
กรรมคือผู้ถูกกระทำ noun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม มักจะอยู่หลัง verb ตัวอย่างเช่น
I play with my cat every day.
ฉันเล่นกับแมวของฉันทุกวัน
She gave me a book yesterday.
เธอให้หนังสือหนึ่งเล่มแก่ฉันเมื่อวานนี้
ตัวอย่างประโยคที่ 2 นี้ จะมีกรรม 2 ตัว โดย book จะถือเป็นกรรมตรง (direct object) เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกระทำโดยตรง ส่วน me จะถือเป็นกรรมรอง (indirect object) เพราะเป็นผู้ที่ได้รับผลของการกระทำ
3. Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement)
ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น
Anne is a writer.
แอนเป็นนักเขียน
We are Thai.
พวกเราเป็นคนไทย
4. Noun ที่ทำหน้าที่อื่นๆ
Noun ยังสามารถทำหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาได้อีกด้วย ซึ่งก็คือ
ทำหน้าที่ขยายความ noun ที่อยู่ข้างหน้า (appositive noun)
My friend, Joe, lives in the same town with me.
เพื่อนของฉัน ซึ่งก็คือโจ อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับฉัน
(คำว่า Joe ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ my friend เป็นการระบุว่าคือเพื่อนคนไหน)
ทำหน้าที่เป็นคำขยาย (modifier) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ noun ที่ตามหลัง
I love leather bags.
ฉันชอบกระเป๋าหนัง
(คำว่า leather จริงๆแล้วเป็น noun แต่ในประโยคนี้จะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยายคำว่า bags การที่ noun 2 ตัวอยู่ติดกันโดยไม่มีคอมม่าคั่น noun ตัวหน้าจะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยาย noun ตัวหลัง)
ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive noun) โดยจะต้องใส่ ’s หลัง noun ที่เป็นเจ้าของ
Susan’s cat is very cute.
แมวของซูซานนั้นน่ารักมาก
แต่ถ้า noun นั้นเป็นคำนามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s เราจะใส่แค่เครื่องหมาย ’ เฉยๆ
My friends’ houses are far from school.
บ้านของเพื่อนๆฉันนั้นอยู่ไกลจากโรงเรียน
จบแล้วนะครับกับเรื่อง noun ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่า noun คืออะไร และมีการใช้อย่างไร ถ้ายังไงก็อย่าลืมทบทวนและฝึกใช้บ่อยๆนะครับ